เหมืองทองคำในรัฐฉานตะวันออก
ฝนที่ตกหนักเมื่อต้นเดือนทำให้น้ำและโคลนจากบริเวณเทือกเขาที่ทำเหมืองทองคำ ในกิ่งอำเภอท่าเดื่อ จังหวัดท่าขี้เหล็ก รัฐฉานภาคตะวันออก (ห่างจากชายแดนไทยด้านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประมาณ 48 กิโลเมตร) ไหลเข้าไปท่วมบ้านและไร่นาของบ้านนาไฮหลวงได้รับความเสียหาย
''ทองคำ'' ใครได้ยินคำนี้ก็ต่างตาลุกวาว เพราะความหมายตรงๆ ของมันก็คือความร่ำรวยนั่นเอง แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงความร่ำรวย ลองมาทำความรู้จักกับไซยาไนด์ที่เป็นสาระสำคัญในการสกัดทองคำจากสินแร่กันสักนิด เผื่อจะลองเอามาบวกลบคูณหารกับความร่ำรวยที่กำลังคิดกันอยู่
“ไซยาไนด์” ชื่อนี้คงจะคุ้นหูว่าเป็น “ยาพิษ” ที่มักใช้กินเพื่อฆ่าตัวตาย ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของมันเสียด้วยซ้ำไป ไซยาไนด์ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเหมืองครั้งแรกราวช่วงปี 1967 เป็นต้นมา เป็นสารเคมีที่อุตสาหกรรมทองคำทั่วทั้งโลกใช้กัน การเปิดเหมืองแร่เพื่อขุดทองคำเป็นผลให้เกิดของเสียและสิ่งปฏิกูลจำนวนมาก มีของเสีย 79 ตัน เพื่อที่จะสกัดทองคำออกมาให้ได้ 1 ออนซ์ (เท่ากับ ½ ปอนด์) ซึ่งในกระบวนการนั้น สารไซยาไนด์เป็นตัวสกัดที่สำคัญในกระบวนการชะล้างแร่ ด้วยว่ามันสามารถทำให้รวบรวมทองคำขนาดเล็กจิ๋วจากสินแร่คุณภาพต่ำได้ โดยจะถูกใช้ในกระบวนการเอาทองคำออกมาจากหิน คือ จะบดหินให้ละเอียดเป็นโคลนเลนแล้วจะใช้ไซยาไนด์เพื่อที่จะดึงทองคำขึ้นมาอีกที แล้วจะใช้ถ่านกัมมัน ดูดทองคำออกมาจากไซยาไนด์อีกที แล้วไซยาไนด์ที่เป็นโคลนเลนก็ถูกนำไปไว้ในบ่อไซยาไนด์ ซึ่งถ้าหากบ่อรั่วแล้วเกิดไซยาไนด์รั่วซึมออกไปด้านนอกก็จะเกิดผลกระทบหลักๆ คือ ทำลายแหล่งน้ำและสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชุมชนท้องถิ่น ไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติเป็นพิษสูงมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อมันเล็ดลอดสู่ระบบนิเวศมันจะทำลายทุกอย่างให้เสียหายได้โดยสิ้นเชิง จากเหมืองทองคำ ไซยาไนด์สามารถแทรกซึมลงสู่กระแสน้ำใต้ดินหรือถูกชะลงสู่แม่น้ำ ทันทีที่ลงสู่แม่น้ำปลาจะตาย น้ำใต้ดินไม่สามารถนำมาใช้ดื่มได้ ระบบชลประทานเพื่อการเกษตรเสียหายไปทั้งหมด การแพร่กระจายของสารเคมีชนิดนี้อาจจะเป็นต้นเหตุของการอาการปวดหัว อาการคลื่นไส้ สะอิดสะเอียน อาการหายใจไม่ออก อาการสับสน และระบบหลอดเลือดหัวใจล้มเหลว ผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนบริเวณรอบเหมืองทองคำ ส่วนใหญ่จะพบว่า มีสารโลหะหนักในเลือด มีรหัสพันธุกรรมหรือ DNA บางส่วนหายไป หากเป็นส่วนโครโมโซมที่ควบคุมการเกิดมะเร็งและยังได้รับสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่องยาวนานทั้งจากอาหาร อากาศ น้ำดื่ม และจากห่วงโช่อาหารทุกชนิดที่เข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีผลให้ป่วยเป็นมะเร็งได้ทั้งสิ้น สารโลหะหนักที่เป็นตัวร้ายจากเหมืองทองคำ คือ สารหนู แมงกานีส โดยเฉพาะสารหนู เพราะสารหนูถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 คือ มีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ ถ้าได้รับในปริมาณมากจะมีอาการพิษเฉียบพลัน คือ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง กล้ามเนื้อเกร็ง และเสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลว แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อยค่อยๆ สะสม จะมีอาการเรื้อรัง เช่น ผิวหนังเปลี่ยนสีเป็นจุดสีน้ำตาลกระดำกระด่าง มีตุ่มตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีปัญหาทางระบบหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบเลือด อวัยวะเป้าหมายที่สารหนูกระจายไปสะสม คือ เส้นผม ขน เล็บ และสมอง ผู้ที่ได้รับสารหนูเข้าไปมักจะมีรอยแถบสีขาวบนเล็บมือและเล็บเท้า แสดงถึงการหยุดชะงักของการเจริญเติบโตของเล็บนั่นเอง สารหนูจะขับถ่ายทางปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ภายใน 2-8 ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับเข้าไป แต่ถ้ามีการสะสมไว้นานและได้รับในปริมาณมากอาจจะใช้ระยะเวลานานถึง 70 วัน สารหนูจึงจะหมดไปจากกระแสเลือด และที่สำคัญสารหนูสามารถรบกวนการทำงานทางชีวเคมีของสารพันธุกรรม DNA และ RNA สารหนูจึงเป็นทั้งสารก่อการกลายพันธุ์และสารก่อมะเร็งด้วย โดยมีหลักฐานทางการแพทย์ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้นการทำเหมืองยังมีสารอื่นๆ แพร่กระจาย เช่น ฝุ่นซิลิก้า เรดอน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดอีกด้วย
แสดงความคิดเห็น
0 ความคิดเห็น