พรรคมอญใหม่/กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติมอญ (NMSP/MNLA)
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ ‘พม่า’ เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นขนาดเทียบได้กับประเทศฝรั่งเศสของยุโรป มีพรมแดนติดกับประเทศบังคลาเทศ
อินเดีย จีน ลาว และไทย เนื่องจากพม่าเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศที่หลากหลาย กล่าวคือ
มีหาดทรายและแหล่งน้ำป่าชายเลนในภาคใต้และตะวันตก มีภูเขาปกคุมด้วยน้ำแข็งทางภาคเหนือ และมีที่ราบสูงในภาคตะวันออก
ปัจจัยภูมิศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจถึงความซับซ้อนของความเป็นรัฐที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์
การมีระบบนิเวศและสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันเป็นปัจจัยพื้นฐานของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่อาศัย
รัฐบาลระบุว่า พม่าประกอบไปด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ 135 กลุ่ม ประกอบด้วย
เชื้อชาติหลัก ๆ 8 กลุ่ม คือ 1) พม่า คิดเป็นร้อยละ 68 ของประชากรทั้งหมด 2) ไทใหญ่
คิดเป็นร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมด 3) กะเหรี่ยง คิดเป็นร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด
4) ยะไข่ คิดเป็นร้อยละ 4 ของประชากรทั้งหมด 5) จีน คิดเป็นร้อยละ 3 ของประชากรทั้งหมด
6) มอญ คิดเป็นร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด 7) อินเดีย คิดเป็นร้อยละ 2 ของประชากรทั้งหมด
8) อื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 5 ของประชากรทั้งหมด ประเทศพม่ามีประชากรประมาณ 52 ล้านคนตามการสำรวจสำมะโนประชากรที่รวบรวมใหม่ในปี 2014 การปกครองของพม่าแบ่งออกเป็น
7 เขต หรือที่เป็นที่รู้จักในชื่อ 7
เขตและ 7 รัฐ ซึ่งเขต 7
เขตเป็นพื้นที่ของพม่า ส่วน 7
รัฐเป็นพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ได้แก่ คะฉิ่น คะยา (กะเหรี่ยงแดง) กะเหรี่ยง
ชิน มอญ ยะไข่ และฉาน จนถึงปัจจุบัน ประเทศพม่ายังคงเป็นประเทศที่รู้จักกันทั่วไปว่ามีสงครามกลางเมืองยาวนานที่สุดในโลก
ประเทศพม่าเป็นเหมือนสมรภูมิทางการเมืองของชาติพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ มาตั้งแต่ประเทศได้รับความเป็นอิสระ
แผนที่ของพม่าในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยอังกฤษครอบครอง
และการดำเนินการของรัฐในการรวบรวมดินแดนทั้งหมดยังไม่เคยมีการดำเนินการอย่างเต็มขั้นเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งอังกฤษเป็นผู้เริ่มหว่านไว้ก็ขยายวงกว้างขึ้นในขณะนี้
ในช่วงระหว่างปี 1980 ถึง 1990 มีกลุ่มติดอาวุธอยู่ทั้งหมดประมาณ 40 กลุ่ม เมื่อมีสัญญาณของการก่อจลาจลเกิดขึ้น
ทหารจะอ้างว่าพวกเขาต้องยึดจุดยืนในการสร้างชาติและมีความหวาดหวั่นต่อการแยกตัวออกจากรัฐ
ซึ่งนอกจากชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ จะถูกควบคุมด้วยการใช้อาวุธต่อสู้แล้ว
ยังต้องถูกกดขี่มากขึ้นเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้การรวมชาติพม่าจะเป็นนโยบายสำคัญ แต่การสำนึกถึงคุณค่าและการส่งเสริมกลุ่มชาติพันธุ์
วัฒนธรรม สิทธิ ประเพณี และภาษาก็ยังคงมีอยู่ นอกจากความขัดแย้งทางการเมืองและทางศาสนาแล้ว
การพัฒนาทางเศรษฐกิจสังคมของพื้นที่ราบสูงก็ยังคงล้าหลังกว่าแผ่นดินใหญ่ คุณค่าชีวิตของประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ถูกคุกคามภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารในระบอบหลังสังคมนิยมซึ่งปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมเข้ามาหาประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติที่ค้ำจุนการดำรงชีวิตของผู้คนเชื้อชาติต่าง
ๆ แทบทุกเขตพื้นที่ชายแดน ความไม่พอใจของชุมชนทวีขึ้นในหลายพื้นที่จากการที่รัฐบาลบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบผิด
ๆ และการดำเนินนโยบายพัฒนาแบบแนวดิ่งโดยไม่มีการหารือหรือรับฟังความคิดเห็นจากประชากรท้องถิ่น
ตรรกะของรัฐเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวในชาติกับเศรษฐกิจมักจะขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงของสังคมที่มีความแตกแยก
ผลจากการพูดคุยเจรจา
ภาพของสหพันธรัฐที่คาดหวังไว้ถือเป็นความคิดทางการเมืองที่เป็นที่ยอมรับทั้งจากทางรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง
ๆ แต่ข้อตกลงยังคงต้องพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรให้ถึงจุดนั้น
หากไม่มีข้อตกลงใด ๆ ทางการเมือง การสู้รบก็จะยังคงดำรงอยู่ทั่วประเทศเช่นเดิม
มอญ หรือ ตะเลง เป็นชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองชาติหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอารยธรรมและภาษาที่เป็นตนเองมาแต่โบราณ รวมทั้งมีอาณาจักรของตนเองตั้งอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกแม่น้ำอิระวดี (เขตพม่าตอนล่าง) ในช่วงระยะเวลา 700 ปี อาณาจักรมอญถูกพม่ารุกรานปราบปราม และมีการแก่งแย่งอำนาจภายในเป็นเหตุต้องล่มสลาย ชนชาติมอญในปัจจุบันจึงมีสภานภาพเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าอาณาจักรมอญจะไม่มีประเทศเป็นของตนเอง และแทบไม่มีบทบาทในเวทีการเมือง แต่วัฒนธรรมอันรุ่งเรืองของมอญ ทั้งทางด้านภาษา ศาสนา กฎหมาย ศิลปกรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่เคยมีอิทธิพลอยูในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแยกตัวเพื่อปกครองตนเองของชาวมอญ เริ่มขึ้นที่เมืองเมาะละแหม่ง กล่าวคือ เมื่อเดือนสิงหาคมปี 1947 กลุ่มนักการเมืองชาวมอญได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมชาวมอญ หรือ United Mon Association (UMA) แต่ยังคงสังกัดอยู่กับพรรคการเมืองใหญ่ของพม่าชื่อ สันนิบาตเสรีชนต่อต้านฟาสซิสต์ (Anti-Fascist People's Freedom League: AFPFL) และได้พยายามเรียกร้องสิทธิทางการเมืองในสภา และประท้วงการเลือกตั้งในปี 1947 ทั้งนี้เพราะชาวมอญไม่มีผู้แทนในสภาเหมือนชนกลุ่มอื่น ๆ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากพรรคการเมืองพม่า ต่อมากลุ่มนักการเมืองชาวมอญรวมตัวกันก่อตั้งพรรคการเมืองมีชื่อว่า พรรคสันนิบาตเพื่อเอกราชมอญ (MFL) ขึ้น บุคคลสำคัญของชาวมอญคนหนึ่งในขณะนั้นคือ ไหน่ อ่อง โทน (Nai Aung Tone) ได้รวบรวมชาวนาและชาวสวนยางจัดหาอาวุธแล้วก่อตั้งขบวนการกู้ชาติมีชื่อว่า องค์การการป้องกันแห่งชาติมอญ (Mon National Defense Organization: MNDO) ผู้นำชาวมอญอีกคนหนึ่งคือ ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ซึ่งได้ก่อตั้งสมาคมชาวมอญ ก็ได้ตั้งพรรคสหแนวร่วมมอญ (Mon United Front: MUF) ที่เมืองเมาะละแหม่ง และได้ออกหนังสือพิมพ์ชื่อ เดอะ ตะนาวศรี ต่อมา พรรคสหแนวร่วมมอญ (Mon United Front: MUF) พยายามรวมตัวกับสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) และพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (Communist Party of Burma: CPB) เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าในขณะนั้น แต่พม่าไหวตัวทัน จึงหาทางเจรจากับมอญอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้ทั้งสามกลุ่มรวมตัวกันติด โดยรัฐบาลพม่ายินยอมให้มีการจัดตั้งรัฐมอญ (Mon State) หากมอญยอมวางอาวุธ ทหารมอญบางส่วนยอมตกลงกับข้อเสนอครั้งนี้ แต่ ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ไม่ยอม และเมื่อพม่าประกาศให้กลุ่มของเขาเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย รัฐบาลพม่าได้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามการเคลื่อนไหวดังกล่าว กำลังทหารพม่าเผาบ้านเรือนประชาชนวัดวาอาราม รวมทั้งเข้าทำลายพืชผลได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังลอบสังหารผู้นำมอญ อาทิ ไหน่ ซาน ทู (Nai San thu) เลขาธิการพรรคสหแนวร่วมมอญ (Mon United Front: MUF) ถูกลอบสังหารที่เมืองเมาะละแหม่ง เมื่อเดือนธันวาคมปี 1948 ต่อมาราวต้นเดือนปี 1949 ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ถูกทางการพม่าจับกุมพร้อมกับผู้นำชาวกะเหรี่ยง 4 คน ถูกกักบริเวณในเมืองย่างกุ้ง 1 ปี และได้หลบหนีเข้าป่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1952 แล้วรวบรวมชาวมอญซึ่งอพยพหลบภัยมาอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นปฏิบัติการรบแบบกองโจร มีฐานที่มั่นใกล้กับด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย ทั้งนี้มีชาวมอญที่หลบหนีการปราบปรามและการเกณฑ์แรงงานอพยพเข้ามาสมทบเพิ่มขึ้นเป็นระยะ ๆ ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ได้ก่อตั้งพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ขึ้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1958 เพื่อเป็นองค์กรหลักในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราช ทั้งด้านการเมือง การทหาร และยังทำหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนที่หลบภัยมาตั้งถิ่นฐานตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 3-40,000 คน โดยมีปีกทางการทหารคือกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติมอญ (New Mon State Party: MNLA) นับจากนั้นเป็นต้นมา พรรคมอญใหม่ (NMSP) ภายใต้การนำของบุรุษเหล็กชื่อ ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ก็กลายเป็นตัวแทนทางการเมืองของชาวมอญที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่าในเขตรัฐมอญ หลังจากห้ำหั่นกันด้วยอาวุธมานานหลายทศวรรษ ไหน่ ชฺเว จิ่น (Nai Swe Kyin) ผู้นำแห่งพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) จึงเริ่มมองข้ามฉากการสู้รบไปถึงการต่อสู้แบบสันติวิธี โดยฝ่ายมอญยินดีเปิดเจรจายุติการสู้รบกับรัฐบาลพม่า หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ฝ่ายมอญยอมรับได้ ฝ่ายรัฐบาลพม่าจัดให้มีการเจรจาครั้งแรกเริ่มต้นในวันที่ 31 ธันวาคม 1993 พรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ยื่นข้อเสนอไปทั้งหมด 14 ข้อ ทางฝ่ายรัฐบาลพม่า ปฏิเสธกลับมาทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า ต้องการเพียงแค่การหยุดยิง ยังไม่พร้อมจะรับข้อเสนอใด ๆ ที่ฝ่ายมอญเรียกร้อง การเจรจาครั้งที่ 2 เริ่มต้นอีกครั้งในเดือนมีนาคมปี 1994 ฝ่ายมอญเสนอขอปกครองพื้นที่ตนเอง ซึ่งเคยอยู่ใกล้กองบัญชาการเก่าของมอญ (ตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทย ซึ่งถูกทหารรัฐบาลพม่าตีแตกเมื่อปี 1990) รัฐบาลพม่าไม่ยอมรับคำขอ แต่ก็ไม่ปฏิเสธเสียทีเดียว โดยตกลงมอบพื้นที่ดูแล (หมู่บ้าน) ในทุกเขตเมืองที่มอญเสนอมา แต่ให้เขตเมืองละไม่กี่หมู่บ้านและให้กองบัญชาการทหารมอญไปอยู่ในที่ห่างไกลหมู่บ้าน ทางฝ่ายมอญได้ทราบเงื่อนไขที่รัฐบาลพม่าเสนอ ฝ่ายมอญไม่รับข้อเสนอดังกล่าว สามเดือนต่อมาการเจรจาครั้งที่ 3 เริ่มต้นและยุติลงเหมือนสองครั้งก่อน เพราะหัวข้อเจรจายังวนเวียนอยู่เรื่องเดิม และทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะประเด็นการวางอาวุธ ซึ่งฝ่ายมอญยื่นคำขาดว่า เป็นไปไม่ได้ มอญยังคงต้องมีอาวุธป้องกันตนเอง อีกทั้งการวางอาวุธ หมายถึงการยอมแพ้ ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการเจรจาหยุดยิง หลังจากพักรบบนโต๊ะเจรจาได้หนึ่งปี การเจรจาครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1995 ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตั้งข้อเสนอกันใหม่ โดยครั้งนี้ฝ่ายรัฐบาลพม่ายอมอ่อนข้อให้ฝ่ายมอญถืออาวุธในเขตปกครองของตน พร้อมกับการกำหนดเขตสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัน นอกจากนี้ยังมีการทำข้อตกลงด้านการเกษตรให้รัฐบาลพม่าจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชนชาวมอญ และยอมให้ชาวมอญดำเนินงานด้านสังคมและเศรษฐกิจในพื้นที่ของตน (พื้นที่ดังกล่าวมี 12 หมู่บ้าน กระจายเป็นหย่อม ๆ อยู่ในเขตเมืองเมาะละแหม่ง เมืองเย และเมืองทวาย) นอกเหนือจากพื้นที่ที่กำหนดนี้แล้ว หากทหารมอญถืออาวุธออกมาเดินเพ่นพ่านถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และในวันที่ 29 มิถุนายน 1995 พรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เสียงปืนในเขต 12 หมู่บ้านก็สงบลงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ได้มีทหารมอญบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการเจรจาหยุดยิงแยกตัวออกไปตั้งกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเองสู้รบกับทหารฝ่ายรัฐบาลอยู่นอกเขตพรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) โดยเฉพาะใกล้บริเวณชายฝั่งทะเลในฝั่งตะวันออกของเขตเมืองทวายและในป่าตะนาวศรี แผ่นดินมอญจึงยังไม่สงบอย่างที่หลายคนเข้าใจ และชาวมอญนอกเขต 12 หมู่บ้านยังคงเผชิญต่อความทุกข์ทรมานจากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยทหารพม่า การเกณฑ์แรงงาน ปล้น ฆ่า ข่มขืน ยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐมอญ และสำหรับเขตสันติภาพพื้นที่ 12 หมู่บ้านตามข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าว พรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองและดำเนินงานด้านเศรษฐกิจตามเงื่อนไขการเจรจา เนื่องจากรัฐบาลพม่าพยายามขัดขวางไม่ให้พรรคมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่เขตปกครองของตน ต่อมาหลังจากพม่าจัดการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 และเตรียมการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนปี 2010 มีการขีดเส้นตายให้กลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ลงนามหยุดยิงเปลี่ยนสถานะไปเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Forces: BGF) ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพพม่า แต่พรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) แถลงในเดือนสิงหาคมปี 2009 ปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสถานะไปเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Forces: BGF) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ไม่ได้ตึงเครียดจนยกระดับไปสู่การสู้รบกัน จนกระทั่งหลังพม่าจัดการเลือกตั้งทั่วไปแล้วเสร็จและได้รัฐบาล นำโดยประธานาธิบดีเต็ง เส่ง (Thein Sein) จึงเริ่มมีการเจรจาสันติภาพอีกครั้งระหว่างรัฐบาลพม่ากับพรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) ในที่สุด เดือนกุมภาพันธ์ปี 2012 พรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) จึงลงนามในข้อตกลงหยุดยิงสองฝ่ายในระดับรัฐบาลท้องถิ่น ในเวลาต่อมาเมื่อรัฐบาลโดยประธานาธิบดีเต็ง เส่ง (Thein Sein) เชิญกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์เข้าร่วมเจรจาพหุภาคีเพื่อนำไปสู่การลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (NCA) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2015 แต่พรรครัฐมอญใหม่ (NMSP) ตัดสินใจไม่ร่วมลงนาม แม้พรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) จะไม่ได้ลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement: NCA) แต่ยังคงมีบทบาทเจรจาต่อรองกับรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ของนางอองซาน ซู จี ร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์กลุ่มที่ยังไม่ได้ลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement: NCA) ในนามสมาชิกสภาสหพันธรัฐชาติสหภาพพม่า (United Nationalities Federal Council: UNFC) ซึ่งเป็นพันธมิตรของกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ในพม่าที่ก่อตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2011 กระนั้น สภาสหพันธรัฐชาติสหภาพพม่า (United Nationalities Federal Council: UNFC) ลดความสำคัญลงหลังจากสมาชิกหลักอย่างสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) ถอนตัวออกไปในปี 2014 และต่อมากลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ 4 กลุ่มที่เป็นสมาชิกได้แก่ องค์กรอิสรภาพกะฉิ่น/กองทัพเอกราชกะฉิ่น (Kachin Independence Organisation/Kachin Independence Army: KIO/KIA) พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน (Shan State Progressive Party/Shan State Army: SSPP/SSA) พรรคเพื่อความจริงและความยุติธรรมแห่งชาติเมียนมา/กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติเมียนมา (Myanmar National Truth and Justice Party/Myanmar National Democratic Alliance Army: MNTJP/MNDAA) และ แนวร่วมปลดปล่อยรัฐปะหล่อง/กองทัพแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติดารฺอั้ง (Palaung State Liberation Front/Ta'ang National Liberation Army: PSLF/TNLA) ก็ถอนตัวเช่นกันในปี 2017 เพื่อไปเข้าร่วมอย่างเต็มที่กับคณะกรรมการเจรจาและปรึกษาทางการเมืองแห่งสหพันธรัฐ (Myanmar Peace Commission and Federal Political Negotiation Consultative Committee: FPNCC) ซึ่งนำโดยพรรคสหรัฐว้า/กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Party/United Wa State Army: UWSP/UWSA) เช่นเดียวกับองค์กรแห่งชาติว้า/กองทัพแห่งชาติว้า (Wa National Organisation/Wa National Army: WNO/WNA) ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาสหพันธรัฐชาติสหภาพพม่า (United Nationalities Federal Council: UNFC) ในปี 2017 หลังพรรคสหรัฐว้า/กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Party/United Wa State Army: UWSP/UWSA) กดดัน ในเดือนมีนาคมปี 2017 พรรครัฐมอญใหม่ (New Mon State Party: NMSP) แถลงว่า จะร่วมลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement: NCA) และเริ่มกระบวนการหารือกับสมาชิกพรรค ผู้นำชุมชน และคณะสงฆ์ในรัฐมอญ จนลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (Nationwide Ceasefire Agreement: NCA) ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2018 ที่่ศูนย์การประชุมนานาชาติเมียนมา (Myanmar International Convention Center: MICC) ที่ II ในกรุงเหน่ปฺยี่ด่อ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
แสดงความคิดเห็น
0 ความคิดเห็น