ทำความรู้จักกับกองกำลังโกก้าง (MNDAA)
ขอทำความรู้จักกับชาวโกก้างก่อน
ชาวโกก้างคือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองโกก้าง ภาคเหนือของรัฐฉาน
แต่เดิมเป็นชาวฮั่น พูดภาษาจีนกลาง (แมนดาริน)
ซึ่งอพยพมาจากมณฑลยูนนานทางใต้ของจีนในช่วงศตวรรษที่ 18 การอพยพของชาวโกก้างเกิดขึ้นเมื่อราชวงศ์หมิงของจีนได้พ่ายแพ้ต่อกองทัพแมนจู
จนทำให้จักรพรรดิหย่งลี่
ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์หมิงต้องอพยพหนีภัยกองทัพแมนจูมายังยูนนาน
โดยมีชาวจีนหลายหมื่นคนที่ภักดีต่อราชวงศ์หมิงติดตามมาด้วย และหนึ่งในนั้นคือ หยาง
กั๊วะโช (Yang Gaosho) ซึ่งเกิดเมื่อปี 1622 ในตระกูลขุนศึกเก่าแก่
ที่เมืองนานกิง มณฑลเจียงซูของจีน ต่อมา
บุตรชายของ หยาง กั๊วะโช ได้ก่อตั้งเขตพื้นที่ 9 หมู่บ้านขึ้นและมีการปกครองตนเอง แต่ละหมู่บ้านจะมีปู่ก้าง
(เทียบเท่ากับผู้ใหญ่บ้าน) เป็นผู้ปกครอง ที่เรียกกันในปัจจุบันว่า เก้าก้าง หรือ โกก้าง (Kokang) โดยผู้แทนของจักรพรรดิจีนมอบตราตั้งขึ้นเป็นเจ้าเมือง นับจากนั้นลูกหลานตระกูลหยางก็ได้สืบต่ออำนาจในการเป็นผู้ปกครองต่อเนื่องมายาวนานกว่า 200 ปี หลังอังกฤษชนะสงครามยึดพม่าเป็นเมืองขึ้น
ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ปกครองของลูกหลานตระกูลหยางเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากอังกฤษกับจีนมีการแบ่งเขตแดนกัน และเขตพื้นที่ปกครองของลูกหลานตระกูลหยางได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐฉานในที่สุด และก่อตั้งรัฐศักดินาที่เรียกว่าโกก้างขึ้นมา
ขณะที่หลายเมืองของรัฐฉานก็ตกไปอยู่ในจีน
อังกฤษได้กำหนดให้เจ้าเมืองโกก้างขึ้นต่อเจ้าฟ้าเมืองแสนหวี
แต่อยู่ไม่นานเมืองโกก้างเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจเจ้าฟ้าเมืองแสนหวี
เนื่องจากต้องจ่ายภาษีหรือส่วยมากกว่าเมืองอื่นๆ สุดท้ายโกก้างได้แยกตัวจากเมืองแสนหวี
และแต่งตั้งเจ้าฟ้าขึ้นครองเมืองเอง โดยมี หยาง เจินไส (Yang Zhensai) หรือ เจ้าเอ็ดเวิร์ด หยาง เจินไส (Sao Edward Yang Zhensai) เป็นเจ้าฟ้า ทำให้รัฐฉานซึ่งขณะนั้นมีเจ้าฟ้าอยู่เดิม 33 เมือง เพิ่มเป็น 34
เมือง สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
โกก้างได้จัดตั้งกองกำลังของตนเอง ภายใต้การสนับสนุนจากกองกำลังจีนก๊กมินตั๋ง (Kuomintang: KMT) ที่พ่ายแพ้พรรคคอมมิวนิสต์จีนถอยเข้ามาในรัฐฉาน
มีนางโอลีฟ หยาง (Mrs. Olive Yang) หรือ หยาง เจินซิว (Yang Zhensiu) เป็นผู้นำ และมีผู้บริหารระดับสูงคนสำคัญได้แก่
เผิง จาเซิง
(Pheung Kya-shin) และ หลอ ชิงห่าน (Lo Hsinghan) ในปี 1962 หลังนายพลเน วิน (General Ne Win) ยึดอำนาจขึ้นเป็นรัฐบาลเผด็จทหารปกครองพม่า
ต่อมาได้ทำการจับกุมเจ้าฟ้าในรัฐฉานรวมถึงนางโอลีฟ หยาง ผู้นำกองกำลังโกก้างด้วย
ทำให้ชาวโกก้างและกองกำลังโกก้างตื่นตัวเริ่มต่อต้านรัฐบาลเผด็จทหารพม่านับแต่นั้น
ในปี 1964 โกก้างได้จัดตั้งกองกำลังใหม่เป็น กองกำลังปฏิวัติโกก้าง (Kokang Revolution Force:
KRF) มี จิมมี่ หยาง (Jimmy Yang) หรือที่รู้จักในชื่อ หยาง เจินเซอ (Yang Zhenze) หรือที่รู้จักในชื่อ เจ้าแหลด (Sao Ladd) น้องชายของหยาง เจินไส
(Yang Zhensai) หรือ
เจ้าเอ็ดเวิร์ด หยาง เจินไส (Sao Edward Yang Zhensai) เป็นผู้นำ
และในปีเดียวกันได้เข้าร่วมกับกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army: SSA) ของเจ้านางเฮือนคำ
(Sao Nang Hearn Kham) ชายาของเจ้าฟ้ากัมโพชรัฐสิริปวรมหาวงศาสุธรรมราชา หรือ เจ้าชฺเว่แต้ก (Sao Shwe Thaik) เจ้าฟ้าองค์สุดท้ายของเมืองหญ่องชฺเว่ ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ๆ มีโครงสร้างกำลัง 4 กองพลน้อย รวมกองกำลังปฏิวัติโกก้าง
(Kokang Revolution Force: KRF) เป็น 5 กองพลน้อย
แต่ต่อมาไม่นานกองพลน้อยของโกก้าง เกิดความแตกแยกกันระหว่าง หลอ ชิงห่าน (Lo Hsinghan) กับ หยาง เจินเซอ (Yang Zhenze) หรือเจ้าแหลด (Sao Ladd) โดยฝ่าย หลอ ชิงห่าน (Lo Hsinghan) ได้ไปร่วมกับรัฐบาลทหารพม่าจัดตั้งเป็นหน่วย ก่า แกฺว่ เย (Ka Kwe Ye: KKY) ส่วนกลุ่มของ หยาง เจินเซอ (Yang Zhenze) หรือเจ้าแหลด (Sao Ladd) ไปร่วมกับ พรรคประชาธิปไตยรัฐสภา (Parliamentary Democracy Party: PDP) พรรคการเมืองพม่า ภายใต้การนำของ อู นุ (U Nu) อดีตนายกรัฐมนตรีพม่า
ในปี 1967 เกิดการขัดแย้งครั้งใหญ่ระหว่างรัฐบาลทหารพม่าและจีน
จากเหตุการปะทะกันของนักเรียนชาวจีนและนักเรียนชาวพม่า
ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน ซึ่งเชื่อว่าทางการพม่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
โดยการปะทะกันมีต้นเหตุมาจากช่วงนั้นนักเรียนในประเทศจีนนิยมติดรูปประธาน
เหมา เจ๋อตุง
(Mao Zedong) อดีตผู้นำของจีน ที่หน้าอกระหว่างไปเรียน
ซึ่งแฟชั่นนี้ได้ลามสู่นักเรียนจีนในพม่าด้วย
รัฐบาลทหารพม่าไม่พึงพอใจและได้ออกคำสั่งห้าม
ทำให้นำไปสู่การปะทะของนักเรียนทั้งสองฝ่ายลามถึงประชาชนและพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้
ทางการจีนที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมแบบจีนไม่พอใจ จึงหันไปส่งเสริมพรรคคอมมิวนิสต์เบอร์มา
(Communist Party of
Burma: CPB) ต่อต้านรัฐบาลผด็จทหารของนายพลเน วิน (General Ne Win) พร้อมกับให้การสนับสนุน เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ที่ขณะนั้นพำนักอยู่ในจีนจัดตั้งกองกำลังโกก้างขึ้น ภายใต้ชื่อ
กองทัพปลดปล่อยประชาชนโกก้าง (Kokang People Liberation Army: KPLA) เข้าร่วมด้วย และในปี 1968 พรรคคอมมิวนิสต์เบอร์มา (Communist Party of Burma: CPB) ซึ่งมีทหารจีนร่วมด้วยเข้ายึดเมืองโก
(ฝั่งตะวันตกแม่น้ำสาละวิน) วันที่ 5 มกราคม 1968 กองทัพปลดปล่อยประชาชนโกก้าง (Kokang People Liberation Army: KPLA) ทำสัญญาเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เบอร์มา (Communist Party of Burma: CPB) และร่วมต่อสู้รัฐบาลเผด็จทหารพม่าเรื่อยมา
ขณะนั้นในพรรคคอมมิวนิสต์เบอร์มา (Communist Party of Burma: CPB) มีกองกำลังชาวชาติพันธุ์เป็นกองกำลังแนวร่วมหลายกลุ่ม อาทิ กองทัพประชาธิปไตยใหม่คะฉิ่น (New Democratic Army-Kachin: NDA-K) กองทัพสหรัฐว้า (United
Wa State Army: UWSA) กองทัพสัมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic
Alliance Army:
NDAA) หรือกองกำลังเมืองลา และกลุ่มพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน
(Shan State
Progressive Party/Shan State Army: SSPP/SSA) ปัจจุบัน ร่วมอยู่ด้วย
และทั้งหมดได้ทยอยแยกตัวออกตั้งเป็นกองกำลังของตัวเองในปี 1989 โดยกองทัพปลดปล่อยประชาชนโกก้าง (Kokang People Liberation Army: KPLA) แยกออกเป็นกลุ่มแรก
ในวันที่ 11 มีนาคม 1989 ได้ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า
พร้อมตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษที่ 1 มีเมืองเล้าก่าย เป็นเมืองเอก และตั้งชื่อกลุ่มเป็น กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic
Alliance Army:
MNDAA) เมื่อปี 1992 เกิดความแตกแยกกันอีกครั้งของกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) เมื่อ หยาง โมเหลี่ยง (Yang Mao-liang) ปฏิวัติยึดอำนาจ
เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) จนทำให้ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ต้องหลบหนีไปอาศัยอยู่กับ จายลืน (Sai Leun) มีชื่อจีน หลิน หมิ่งเสียน (Lin Mingxian) ชื่อพม่า ไซลิน (Sai Lin) ลูกครึ่งไทใหญ่-จีน ซึ่งเป็นลูกเขยและเป็นผู้นำกองทัพสัมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance Army: NDAA) หรือกองกำลังเมืองลา
กระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 2 ปี เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ได้วางแผนร่วมกับกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) พร้อมกับ หม่ง สา
ละ (Mong Sa La) ผู้บัญชาการกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) ประจำเมืองโก ร่วมกันบุกยึดอำนาจคืนจาก
หยาง โมเหลี่ยง (Yang Mao-liang) ได้สำเร็จ ต่อมาวันที่ 7 ธันวาคม 1995 ฝ่าย หม่ง สา ละ (Mong Sa La) ผู้บัญชาการประจำเมืองโก ได้ประกาศแยกตัวออกจาก เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ไปตั้งกลุ่มเองเคลื่อนไหวในพื้นที่เมืองโก โดยใช้ชื่อว่า กองทัพพิทักษ์เมืองโก (Mongkoe Defense
Army: MDA) ขณะที่ฝ่าย เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ได้ตั้งมั่นพัฒนาเขตปกครองตนเองจนรุ่งเรือง ในเวลาเดียวกันกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) กองทัพสัมพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Alliance Army: NDAA) หรือกองกำลังเมืองลา และกองทัพประชาธิปไตยใหม่คะฉิ่น (New Democratic Army-Kachin: NDA-K) หรือกองกำลังคะฉิ่น ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เบอร์มา (Communist Party of Burma: CPB) ร่วมกันจัดตั้งเป็นกลุ่มสัมพันธมิตรภายใต้ชื่อ
แนวร่วมสันติภาพและประชาธิปไตย (Peace and Democracy Front: PDF) มาจนถึงปัจจุบัน
เขตปกครองพิเศษที่
1 อยู่อย่างสงบภายใต้การนำของ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) เป็นเวลากว่า 20 ปี
นับตั้งแต่เจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ถือได้ว่าสร้างรากฐานพัฒนาเขตปกครองตนเองจนเจริญรุ่งเรือง
ภายในเมืองเอกซึ่งในอดีตเป็นสนามรบกลางหุบเขา ก็ถูกพัฒนามีโรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด
กระทั่งซุปเปอร์มาร์เก็ต ถนนหนทางลาดยางและมีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมง และเมื่อปี 2002 กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ได้ประกาศพื้นที่ปกครองเป็นเขตปลอดยาเสพติดอย่างสิ้นเชิง
โดยปราบปรามและลงโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงในปี 2009 กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ถูกกดดันให้แปรสภาพเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border
Guard Force: BGF) ภายใต้การบังคับบัญชาของกองทัพพม่า (Tatmadaw) แต่กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ปฏิเสธข้อเสนอของรัฐบาลจึงเกิดการเผชิญหน้ากับกองทัพพม่า
จากนั้นกองทัพพม่าก็มีท่าทีเป็นศัตรูกับกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง มากขึ้นเรื่อยๆ
กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง มีตระกูลใหญ่ๆ ที่สืบทอดอำนาจอยู่ 3 ตระกูล คือ
ตระกูลหยาง (หยาง โมเหลียง) ตระกูลเผิง (เผิง จาเซิง) และตระกูลหลอ (หลอ ชิงห่าน) แต่ตระกูลหยาง และตระกูลหลอ
มีอำนาจไม่ยาวนานเท่าตระกูลเผิง ที่กุมอำนาจมาตั้งแต่ปี 1967 หากครั้งนี้ เผิง
จาเซิง (Pheung Kya-shin) ไม่สามารถพลิกตัวฟื้นกลับมาได้ก็เท่ากับความเป็นใหญ่ของตระกูลเผิงก็คงจะหมดสิ้นลง
และอำนาจตระกูลใหม่เห็นจะหนีไม่พ้นพวกตระกูลป๋าย (ป๋าย โส่วเฉิน) ตระกูลเหลียว
(เหลียว เกว๋อชี) ตระกูลเว้ย (เว้ย เชาเหยิน) และตระกูลหลิว (หลิว เจินเซียง)
ขณะนั้น
กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เมื่อผู้บริหารระดับสูงเกิดความไม่ค่อยลงรอยจากเรื่องการแบ่งปันอำนาจไม่เสมอภาค ว่ากันว่าผู้นำได้แต่แบ่งปันอำนาจให้เฉพาะเครือญาติ
ประกอบกับกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
ถูกกดดันให้แปรสภาพเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard
Force: BGF) ซึ่งผู้บริหารระดับสูงบางส่วนเห็นควรยอมรับข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่า
ขณะที่ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ยืนกรานเสียงแข็งไม่รับไม่เอา เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าผู้เอียงข้างรัฐบาลทหารพม่านี้มากนัก และแล้วเขาได้ทำการปลด
ป๋าย โส่วเฉิน (Bai Suoqian) ซึ่งมีตำแหน่งรองผู้นำเขตปกครองพิเศษที่
1 ของเขา พร้อมด้วยคณะกรรมการระดับสูงอีก 4 – 5 คน ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีความเห็นแตกต่างและแสดงท่าทีอ่อนข้อต่อรัฐบาลทหารพม่ามากเกินไป
ขณะที่ฝ่ายที่ถูกปลดเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทั้งที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันมายาวนาน ก็หันไปสวามิภักดิ์กับรัฐบาลทหารพม่า
เมื่อ ป๋าย โส่วเฉิน (Bai Suoqian) รองประธานเขตปกครองพิเศษที่ 1 และพวก หันไปสนับสนุนรัฐบาลทหารและต่อต้าน เผิง
จาเซิง (Pheung Kya-shin) และแจ้งต่อรัฐบาลทหารว่า
เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) มีโรงงานผลิตอาวุธและยาเสพติด ในวันที่ 8 สิงหาคม 2009 ความตึงเครียดระหว่างกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง และรัฐบาลทหารเพิ่มสูงขึ้นอีก เมื่อ พลตรี อ่อง ตาน ทุต (Major general Aung Than Htut) แม่ทัพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(กองบัญชาการอยู่ที่เมืองล่าเสี้ยว รัฐฉานภาคเหนือ)
นำกำลังกว่าร้อยนายเข้าไปในเขตปกครองพิเศษที่ 1 เพื่อตรวจค้นโรงงานผลิตอาวุธที่เชื่อว่าทำบังหน้าการผลิตยาเสพติด
รวมทั้งบุกตรวจค้นบ้านของ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ทำให้เกิดการประจันหน้ากันระหว่างกำลังของทั้งสองฝ่าย แต่ไม่มีการสู้รบกัน
ถึงกระนั้นประชาชนจำนวนมากอพยพเนื่องจากกลัวจะเกิดเหตุรุนแรง
จนเจ้าหน้าที่ของจีนต้องเข้ามาแทรกแซง วันที่ 20 สิงหาคม 2009 กองทัพพม่าเริ่มรวมตัวกันที่เมืองเล้าก่าย เมืองเอกของเขตปกครองพิเศษที่ 1 วันที่ 22 สิงหาคม 2009 ได้ออกหมายเรียกผู้นำระดับสูงเขตปกครองพิเศษที่ 1 พื้นที่ปกครองตนเองโกก้าง 4 คน รวมถึง เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) แต่ก็ถูกปฏิเสธ วันที่ 24 สิงหาคม 2009 ได้ออกหมายจับพร้อมจัดส่งกำลังพลหน่วยต่างๆ
ทั้งทหารราบ หน่วยเคลื่อนที่เร็ว หน่วยปืนใหญ่
รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครและตำรวจนับพันนาย เข้าประชิดเขตปกครองพิเศษที่ 1 โดยไม่เกิดการปะทะสู้รบ การเข้ายึดครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากทหารกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ที่จงรักภักดีต่อกองทัพพม่า
หลังกองทัพพม่าเคลื่อนกำลังพลเต็มอัตราศึกเข้าเขตปกครองพิเศษที่ 1 เพื่อกดดันจับกุมผู้นำให้ได้
ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง รู้ตัวดีว่ากำลังถูกคุกคามรุกรานจึงได้เรียกประชุมฉุกเฉิน
เตรียมรับมือ พร้อมกับแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานอยู่ในความพร้อม
ขณะเดียวกันได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่ายึดหลักสันติวิธี
เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ในวันที่ 25 สิงหาคม 2009 กองทัพพม่าได้แต่งตั้งฝ่ายที่ไม่ภักดีต่อ
เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ผู้นำสูงสุดกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
รวม 11 คน เป็นคณะกรรมการบริหารเขตปกครองพิเศษที่ 1 โกก้างชั่วคราว และเช้าวันที่ 26 สิงหาคม 2009 ร่วมกันเข้ายึดเมืองเล้าก่าย ทำให้กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ซึ่งมีกำลังพลพร้อมรบราว 1,000 นาย
ที่กระจายตามพื้นที่ต่างๆ ต้องยอมสละถอนกำลังออกอยู่รอบนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
กระทั่งช่วงเช้าของวันที่ 27 สิงหาคม 2009 กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ได้เริ่มเปิดฉากสู้รบกับกองทัพพม่านอกเมืองและลุกลามหลายจุดทั้งด้านเมืองชินฉ่วยเหอ
ติดชายแดนจีนและโดยรอบเมืองเล้าก่าย ยังผลให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียไม่แพ้กัน ในขณะที่กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง มีแนวโน้มจะพ่ายแพ้ กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ยังคงสู้รบ และต่อมาวันที่ 28 สิงหาคม 2009 กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) ถอนตัวออก วันที่ 29 สิงหาคม 2009 ทหารกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ราว 700 นาย
ได้ข้ามพรมแดนและมอบตัวกับทางการจีน รัฐบาลพม่าได้ประกาศว่าการสู้รบสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2009 และมีการจัดตั้งคณะกรรมการผู้นำเฉพาะกาลเขตปกครองพิเศษที่ 1
โกก้างขึ้นใหม่ ป๋าย โส่วเฉิน (Bai Suoqian) ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานเขตปกครองพิเศษที่ 1 โกก้างคนใหม่
แทนที่ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ที่ถูกรัฐบาลออกหมายจับจนต้องหลบหนี ป๋าย โส่วเฉิน (Bai Suoqian) ที่สนับสนุนกองทัพพม่าได้เป็นผู้นำคนใหม่ ประกาศว่า
ชาวโกก้างจะเข้าร่วมในการเลือกตั้งปี 2010 ทหารกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ที่ภักดีกับ ป๋าย โส่วเฉิน (Bai Suoqian) กลายเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force: BGF) ที่ 1006 ภายใต้บังคับบัญชาของกองทัพพม่า ศึกครั้งนี้ไม่ยึดเยื้อและจบลงอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากกองทัพพม่าได้วางแผนมาอย่างรัดกุมและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่แยกตัวออกจากกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง สามารถควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญได้เกือบทั้งหมด
ส่วนกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
ที่เหลือยังคงต่อต้านกองทัพพม่าด้วยการใช้ยุทธวิธีซุ่มโจมตี ภายใต้การนำของ เผิง
เต๋อเหริน (Pheung Deren) หรือ หง หย่งเฉิง (Hong Yongcheng) หรือที่รู้จักในชื่อ เผิง ต้าชุน (Pheung Daxun) ลูกชายของ เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin)
สถานการณ์ในเขตปกครองพิเศษที่
1 โกก้าง สงบลงเป็นเวลา 5 ปี แต่ในเดือนธันวาคม 2014
เผิง จาเซิง (Pheung Kya-shin) ในวัย 84 ปี ได้ปรากฏตัวอีกครั้ง
และให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับสถานีโทรทัศน์ของฮ่องกง “โฟนิกซ์เทเลวิชั่น” หรือ “iFeng”
ว่า กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ต้องการทวงเขตปกครองของตนคืนจากทหารพม่า
ที่ถูกยึดไปเมื่อปี 2009 และต้องการทวงคืนข้อตกลงหยุดยิงที่เคยทำไว้กับรัฐบาลพม่าในปี
1989 โดยระบุว่า ไม่ได้ต้องการแยกตัวออกจากสหภาพ
ต้องการปกครองตนเองเหมือนชนกลุ่มน้อยอื่นๆ แม้จะพูดภาษาจีน
แต่พวกเขาคือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในพม่า นักรบกลุ่มนี้ไม่ยอมแพ้ รวมตัวกันใหม่
เชื่อกันว่ามีกำลังทหารประมาณ 3,000 คน และทยอยเคลื่อนทัพกลับมาพร้อมอาวุธทันสมัย
โดยมีเป้าหมายกลับมายึดฐานที่มั่นเดิมจากทหารพม่าให้ได้ วันที่ 9 กุมภาพันธุ์ 2015 กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
ได้ก่อเหตุโจมตีค่ายทหารใกล้เมืองเล้าก่าย และยังมีกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์
(Ethnic Armed
Organizations: EAOs) 4 กลุ่มคือ
กลุ่มพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน (Shan State Progressive Party/Shan
State Army: SSPP/SSA) กลุ่มองค์กรอิสรภาพกะฉิ่น/กองทัพเอกราชกะฉิ่น (Kachin Independence
Organisation/Kachin Independence Army: KIO/KIA) กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยรัฐปะหล่อง/กองทัพแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติดารฺอั้ง
(Palaung State
Liberation Front/Ta'ang National Liberation Army: PSLF/TNLA) และกลุ่มสหสันนิบาตแห่งอาระกัน/กองทัพอาระกัน (United League of Arakan/Arakan Army:
ULA/AA) ที่ถูกกล่าวหาว่าช่วยเหลือกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
อย่างไรก็ตาม มีเพียง กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยรัฐปะหล่อง/กองทัพแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติดารฺอั้ง (Palaung State Liberation Front/Ta'ang National Liberation Army: PSLF/TNLA) และกลุ่มสหสันนิบาตแห่งอาระกัน/กองทัพอาระกัน (United League of Arakan/Arakan Army: ULA/AA) เท่านั้นที่ออกมายอมรับ
การโจมตีตั้งแต่วันที่
9 – 12 กุมภาพันธุ์ 2015 ทำให้ฝ่ายกองทัพพม่าเสียชีวิต 47 นายในจำนวนนี้เป็นนายทหาร 5 นาย
และมีผู้บาดเจ็บกว่า 70 นาย รัฐบาลของประธานาธิบดี เต็ง เส่ง
(Thein Sein) ประกาศสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินในเขตปกครองพิเศษที่
1 โกก้าง 3 เดือน
และประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เป็นรัฐบาลในปี 2011 กองทัพพม่าส่งเครื่องบินรบ MIG-29 และเฮลิคอปเตอร์ Mi-35 ถล่มฐานที่มั่นของกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง
อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย (Senior General
Min Aung Hlaing) ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพพม่า
ได้ออกมากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า
กองกำลังติดอาวุธที่ให้การช่วยเหลือกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเขตปกครองพิเศษที่ 1
โกก้างส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น ซึ่งเป็นเชื้อสายหลักของจีน
กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับพม่า
เหตุการณ์สู้รบในเขตปกครองพิเศษที่ 1 ในครั้งนี้จึงสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างจีนและพม่า
เพราะกองทัพพม่ากล่าวหาว่า
ทหารรับจ้างชาวจีนช่วยกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) รบพม่า และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า
จีนให้ความช่วยเหลือกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) โจมตีกำลังทหารพม่าจากดินแดนของจีน โกก้างที่มีเชื้อสายจีน
จึงทำให้ดูเหมือนว่า ไม่ใช่กองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) รบพม่าเท่านั้น แต่เป็นจีนรบกับพม่าด้วย
เรื่องนี้กำลังสร้างความไม่พอใจและปลุกกระแสชาตินิยมในหมู่ประชาชนชาวพม่าเป็นอย่างมาก
และเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกที่ประชาชนชาวพม่าหันมายืนข้างกองทัพและสนับสนุนอย่างเต็มที่
อนึ่ง ในช่วงที่เกิดการปะทะสู้รบในพื้นที่เขตปกครองพิเศษที่ 1 โกก้างนั้น
ตรงกับช่วงที่รัฐบาลพม่าจัดงานรำลึกวันก่อตั้งสหภาพพม่า หรือวันลงนามสัญญาปางโหลง
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธุ์ 1947 หรือเมื่อ
68 ปีก่อน โดยมีการเชิญผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ 13 กลุ่ม รวมทั้ง พลเอก ซอ มูตู เซ โพ (General Saw Mutu Say Poe) ประธาน สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union: KNU) พลเอก ยอดศึก (General Yawd Serk) ประธาน สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน
(Restoration Council of Shan State/Shan State Army: RCSS/SSA) ไหน่ หง สา (Nai Hong Sar) เลขาธิการ พรรคมอญใหม่/กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติมอญ
(New Mon State Party/Mon National Liberation Army: NMSP/MNLA) ซึ่งเป็นผู้นำของคณะประสานงานการหยุดยิงทั่วประเทศ (Nationwide
Ceasefire Coordination Team: NCCT) ของกลุ่มชาติพันธุ์ 16 กลุ่ม เข้าร่วมงานฉลองที่กรุงเหน่ปฺยี่ด่อด้วย
โดยก่อนหน้านี้ อู อ่อง มิน (U Aung Min) รัฐมนตรีประจำสำนักงานประธานาธิบดีพม่า
และประธานในคณะทำงานสันติภาพระดับสหภาพ (Union Peace-Making Work Committee:
UPWC) ได้เจรจาและมีข้อเสนอต่อผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
ให้ร่วมกันลงนามในหนังสือสัญญาเกี่ยวกับการยุติการสู้รบทั่วประเทศ (Nationwide
Ceasefire Agreement: NCA) ในช่วงที่มีการจัดงานรำลึกวันก่อตั้งสหภาพพม่า
อย่างไรก็ตามผู้นำกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มไม่พร้อมที่จะลงนามดังกล่าว เนื่องจากขั้นตอนเจรจาทางการเมืองหลายข้อไม่มีความคืบหน้า
ทำให้ในวันจัดงานรำลึกวันก่อตั้งสหภาพพม่า มีการเปลี่ยนเป็นการลงนามใน
"หนังสือแสดงพันธะสัญญาเพื่อสันติภาพและการปรองดองแห่งชาติ" หรือ "Deed
of Commitment for Peace and National Reconciliation" แทน
โดยหลักการของเอกสารดังกล่าวซึ่งมี 5 ข้อ ใจความ คือ
ยอมรับหลักของการสร้างสหภาพบนพื้นฐานของหลักประชาธิปไตยและสหพันธรัฐ โดยมีน้ำใจป๋างโหลงและผลของการเจรจาทางการเมือง
เพื่อเป็นหลักประกันเสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม
และหลักกำหนดใจตนเองสำหรับพลเมืองทุกคน ความพยายามร่วมกันเพื่อให้เกิดความสำเร็จในกระบวนการสันติภาพ
เพื่อทำให้บรรลุในสันติภาพและการปรองดองแห่งชาติซึ่งเป็นความต้องการของประชาชนทุกคน
ทั้งนี้มีผู้ลงนามประกอบด้วย ประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดีพม่า
รัฐมนตรีระดับสหภาพ 14 คน สมาชิกรัฐสภา 5 คน ซึ่งรวมทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานสภาชนชาติ
ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้แทนกองทัพพม่า 3 ราย
รัฐมนตรีกระทรวงกิจการชนชาติ 29 คน และผู้แทนพรรคการเมือง 55
คน ส่วนผู้แทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ 4 กลุ่ม
ที่ลงนาม ได้แก่ (1) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen
National Union: KNU) (2) กองทัพกะเหรี่ยงประชาธิปไตยผู้มีความเมตตา
(Democratic Karen Benevolent Army: DKBA) (3) สภาสันติภาพกองทัพปลดปล่อยชนชาติกะเหรี่ยง
(Karen National Liberation Army-Peace Council: KNLA-PC) และ
(4) สภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน/กองทัพรัฐฉาน (Restoration
Council of the Shan State/Shan State Army: RCSS/SSA) ขณะที่กลุ่มชาติพันธุ์อื่นอีก
9 กลุ่มที่เหลือยังไม่พร้อมลงนาม
โดยบางกลุ่มเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงการแสดงเจตนารมณ์
ไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลทางกฎหมาย
ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมงานรำลึกวันก่อตั้งสหภาพพม่าที่กรุงเหน่ปฺยี่ด่อ ได้แก่
กลุ่มองค์กรอิสรภาพกะฉิ่น/กองทัพเอกราชกะฉิ่น (Kachin Independence Organisation/Kachin Independence Army: KIO/KIA) กลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยรัฐปะหล่อง/กองทัพแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติดารฺอั้ง (Palaung State Liberation Front/Ta'ang National Liberation Army: PSLF/TNLA) กลุ่มสหสันนิบาตแห่งอาระกัน/กองทัพอาระกัน (United League of Arakan/Arakan Army: ULA/AA) และกลุ่มกองทัพสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตยเมียนมา (Myanmar National Democratic Alliance Army: MNDAA) หรือกองกำลังโกก้าง ซึ่งทั้งหมดยังคงอยู่ในสถานการณ์สู้รบกับรัฐบาลพม่า
แสดงความคิดเห็น
0 ความคิดเห็น