ราคาแร่ดีบุกในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลังพรรคสหรัฐว้า/กองทัพสหรัฐว้า (UWSP/UWSA) เผยแพร่เอกสารจะระงับผลผลิตในเขตปกครองตนเองว้า


สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นประเทศผู้ผลิตแร่ดีบุก (Tin) รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก (54,000 ตันต่อปี)  รองจากจีน (85,000 ตันต่อปี) และอินโดนีเซีย (80,000 ตันต่อปี) แต่จีนยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศ 30-35% ของปริมาณการบริโภคทั้งหมดในประเทศในแต่ละปี และจากข้อมูลของสมาคมดีบุกระหว่างประเทศ (International Tin Association: ITA) ในปี 2020 กว่า 95% ของหัวแร่ดีบุกที่จีนสั่งนำเข้าทั้งหมดไปจากเมียนมา ซึ่งพื้นที่หลักในการทำเหมืองแร่ดีบุกของเมียนมาอยู่ในภูมิภาคปกครองตนเองว้า (Wa Self-Administered Division) หรือสหรัฐว้า (United Wa State) บริหารจัดการโดย กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์พื้นเมืองของเมียนมา (Myanmar’s Ethnic Armed Organizations) ในรัฐฉาน กลุ่มพรรคสหรัฐว้า/กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Party/United Wa State Army: UWSP/UWSA) ครองส่วนแบ่งผลผลิตประมาณ 80% ของทั้งประเทศ



เหมืองแร่ดีบุกในเขตเมืองมายมอ แขวงโหปั่น รัฐฉานตอนเหนือ เขตปกครองตนเองว้า

คณะกรรมการวางแผนเศรษฐกิจกลาง (Central Economic Planning Board: CEPB) ของสหรัฐว้า (United Wa State) โดย พรรคสหรัฐว้า/กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Party/United Wa State Army: UWSP/UWSA) ได้เผยแพร่เอกสารในวันที่ 15 เมษายน 2023 ระบุว่า เพื่อรักษาทรัพยากรแร่ที่เหลืออยู่ในสหรัฐว้า การออกอาชญาบัตรและประทานบัตร การต่ออายุประทานบัตรและการต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมแร่ รวมถึงกิจกรรมการทำเหมืองแร่ ทั้งหมดจะถูกระงับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2023 ส่งผลต่อการซื้อขายโลหะในตลาดโลหะลอนดอน (London Metals Exchange: LME) สัญญาซื้อขายดีบุก (Tin) ล่วงหน้า 3 เดือนในวันที่ 17 เมษายน 2023 พุ่งขึ้น 11% แตะระดับสูงสุดในรอบสองเดือนอยู่ที่ 27,705 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และซื้อขายครั้งสุดท้ายที่ 27,180 ดอลลาร์



แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น