มองมุมม่าน ตอน ยุคอาณานิคม
ก่อนจะเล่าเรื่องที่ชาวโลกไม่ควรจะรู้ เพราะเขาไม่ตั้งใจจะให้คุณรู้ ทุกอย่างคือภาพลวงตา ส่วนตัวแล้วไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบใครใดๆ ทั้งสิ้น จงอย่าเชื่อเหรียญด้านเดียว ทุกอย่างมันมีที่มา และมันก็ต้องมีที่ไป คนจัดฉากก็ส่วนหนึ่ง คนเล่นตามเกมส์ก็ส่วนหนึ่ง ผู้ชมก็ส่วนหนึ่ง และปรากฎการณ์ก็อีกส่วนหนึ่ง ไม่มีใครการันตีได้ว่า จะไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้น อยู่ที่เบื้องหลัง ใครเขียนบทให้เดิน.
นุ เกิดในเมือง วาเกมะ (Wakema) ที่ราบลุ่มใกล้ปากแม่น้ำอิระวดี ตะวันตกเฉียงใต้กรุงย่างกุ้ง นุ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีแล้วไปเป็นครูสอนที่เมือง Pantanaw อยู่ระยะหนึ่ง ในปี 1934(พ.ศ. 2477) นุ กลับไปศึกษาต่อด้านกฎหมายใน ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง Ko Ohn แนะนำให้เขารู้จักกับเพื่อนใหม่ 3 คน คือ Ko Kyaw Nyein Ko Thein Pe และ Ko Aung San นุ อายุมากกว่าพวกเขา เพราะ นุ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเมื่อปี 1929(พ.ศ. 2472)
นุ เคยกล่าวถึง Ko Aung San ว่า ช่วงที่รู้จักกันแรกๆ นั้น เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ภายหลังได้กลายเป็นนักปราศรัยที่สามารถพูดหกชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก พวกเขาจะนัดพบปะพูดคุยกันอยู่เสมอๆ นุ เรียกตัวเขาและเพื่อนๆ ว่า “The five-man group”
*Ko Ohn ผู้ซึ่งต่อมาได้ดำรงตำแหน่งทูตประจำประเทศอังกฤษ สหภาพโซเวียต และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล อู นุ Kyaw Nyein กลายมาเป็นนักการเมืองคนสำคัญ ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล อู นุ Thein Pe เป็นแกนนำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วน Aung San ก็อย่างที่พวกเราทราบ*
เมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเทอมปรากฏว่า รองประธานสหภาพนักศึกษาได้ลาออก “กลุ่มห้าคน” จึงได้เสนอให้ นุ ลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ซึ่งในที่สุด นุ ก็ได้รับการเลือกเป็นรองประธานสหภาพนักศึกษา ต่อมา อธิการบดี Sloss ได้ตั้งกฎใหม่ให้นักศึกษาต้องผ่านการสอบกลางภาคก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้สอบปลายภาค ทำให้นักศึกษาจำนวนมากไม่พอใจ ประธานสหภาพนักศึกษาไม่กล้าออกตัวในการประท้วงครั้งนี้ นุ จึงออกหน้ามาเป็นผู้นำการประท้วง โดยวางแผนจะปักหลักรวมกลุ่มประท้วงที่มหาเจดีย์ชเวดากอง นุ และ Ko Ohn รู้จักนักข่าวหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ทำให้เรื่องความไม่พอใจของนักศึกษากลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ จนมหาวิทยาลัยต้องยอมถอย จบลงด้วยอธิการบดีต้องยกเลิกเกณฑ์ดังกล่าว เหตุการณ์นี้ทำให้ นุ เป็นที่รู้จักในบรรดานักศึกษา และเมื่อสิ้นปีการศึกษา คณะกรรมการบริหารสหภาพนักศึกษาหมดวาระลง นุ และเพื่อนคนอื่นในกลุ่มห้าคนก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการสหภาพนักศึกษา ปี 1935-1936 นุ ได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพนักศึกษา Ko Ohn และ Ko Aung San ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย โดยมี Raschid ซึ่งเป็นชาวพม่าเชื้อสายอินเดียนับถือศาสนาอิสลามเป็นรองประธาน *ต่อมา Raschid ได้เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงสมัยรัฐบาล อู นุ*
นอกเหนือจากเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสหภาพนักศึกษา Ko Aung San ยังรับหน้าที่เป็น บรรณาธิการวารสาร Oway ในระหว่างนี้ได้ตีพิมพ์บทความ “A Hell Hound at Large” วิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัย โดยผู้เขียนซึ่งใช้นามปากกาว่า Nyo Mya เมื่อ Ko Aung San ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า ใครคือผู้เขียน เขาจึงถูกมหาวิทยาลัยลงโทษด้วยการไล่ออก เช่นเดียวกับ นุ เนื่องจาก นุ มักปราศรัยโจมตีอาจารย์และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยอยู่บ่อยครั้ง เหตุการณ์นี้นำไปสู่การประท้วงใหญ่ของนักศึกษาอีกครั้ง มีการรวมตัวประท้วงกันที่มหาเจดีย์ชเวดากอง กินเวลายาวนานถึง 4 เดือน เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ นุ และ Ko Aung San เป็นที่รู้จักในหมู่นักการเมืองระดับชาติ อาทิ U Saw (ผู้วางแผนสังหาร Ko Aung San ในภายหน้า) และ Dr.Ba Maw (ผู้ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้อาณานิคมในปีถัดไป) และสมาชิกพรรค ”เราชาวพม่า” การประท้วงจบลงเมื่อมหาวิทยาลัยยอมให้ทั้งสองกลับเข้าเป็นนักศึกษาตามเดิม Ko Aung San กลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง ขณะที่ นุ ไม่กลับเข้าเรียนอีกต่อไป
Raschid ได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพนักศึกษา ปี 1936-1937 และ Ko Aung San ได้รับตำแหน่งนี้ต่อจาก Raschid ในปี 1937-1938 ระหว่างนี้พวกเขายังคงไปมาหาสู่กัน
ในปี 1947(พ.ศ. 2490) นุ ได้ก่อตั้ง Nagani(Red Dragon) Book Club ขึ้น (เลียนแบบ Left Book Club ของ Victor Gollancz ในประเทศอังกฤษ) มีที่ทำการอยู่ที่ Scott Market โดยเป็นที่รวมตัวกันของเหล่าปัญญาชน มีการตีพิมพ์หนังสือ งานแปล หนังสือวรรณกรรม บทความวิชาการ และแนวคิดทางการเมือง ขายในราคาถูก ภายใน 4 ปี Nagani Book Club ตีพิมพ์หนังสือมากถึง 70 เล่ม
ภายหลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้งแล้ว Ko Aung San ได้ชักชวน นุ สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค “เราชาวพม่า” (Dobama Asiayone) ซึ่งมีแนวคิดชาตินิยม (อันที่จริงทุกพรรคการเมืองในขณะนั้นล้วนมีแนวคิดชาตินิยมต้องการปลดปล่อยพม่าจากการเป็นอาณานิคมอังกฤษทั้งสิ้น) สมาชิกพรรค “เราชาวพม่า” จะเรียกตัวเองว่า “ตะขิ่น” ซึ่งแปลว่าเจ้านาย เป็นการเสียดสีว่า เราชาวพม่าต่างหากที่เป็นเจ้านายตัวเอง หาใช่ชาติตะวันตกเจ้าอาณานิคมไม่
นุ เขียนไว้ในหนังสือ The Satureday’s Son ว่า เขาไม่ปราถนาที่จะเป็นนักการเมือง แต่เกรงใจ และทนการรบเร้าของ Ko Aung San ซึ่งพยายามโน้มน้าวเขาอย่างหนักไม่ไหว ถึงขั้นคะยั้นคะยอให้สมัครและออกค่าสมัครสมาชิกพรรคให้ ทั้งสองจึง เป็น ตะขิ่นนุ ตะขิ่นอองซาน และแน่นอนว่าเพื่อนๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยทั้งหมดของเขาก็เข้าร่วมขบวนการนี้ด้วย
หลังจากสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค “เราชาวพม่า” (Dobama Asiayon) หรือพรรค “ตะขิ่น” แล้ว ตะขิ่นนุและตะขิ่นออง ซาน ได้พบกับเพื่อนๆ ซึ่งต่อมาเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์ในการเรียกร้องเอกราชอีกหลายคน รวมทั้ง ตะขิ่นตันทุนและตะขิ่นโซ (สองคนนี้ภายหลังเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มอีกคือ กลุ่มธงขาวและธงแดง ต่อสู้กับรัฐบาลที่มีอูนุเป็นนายกรัฐมนตรีหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ)
ในปี 1938(พ.ศ. 2481) พรรค “ตะขิ่น” ก็แยกออกเป็นสองส่วน (พรรคการเมืองพม่าจะแยกตัวและรวมตัวกันบ่อยๆคล้ายๆพรรคการเมืองไทย ภายหลังเมื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี พรรค AFPFL ของอูนุก็แยกออกเป็นสองส่วนอันเป็นสาเหตุหนึ่งให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงจะได้กล่าวต่อไปในภายหน้า) ตะขิ่นอองซาน ซึ่งมีความโดดเด่น ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคร่วมกับตะขิ่นตันทุน บริบทการเมืองพม่าขณะนั้น คือ ในปี 1937(พ.ศ. 2480) พม่าได้รับการปรับสถานะเป็นอาณานิคมโดยตรงของอังกฤษ โดยไม่นับเป็นจังหวัดหนึ่งของอาณานิคมอังกฤษอินเดียอีกต่อไป มีการเลือกตั้งทั่วไป และมีนายกรัฐมนตรีบริหารราชการภายใต้ข้าหลวงอังกฤษ ดร. บา มอ หัวหน้าพรรค Sinyetha Party(คนจน) ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก แม้จะได้รับเลือกเพียง 16 ที่นั่ง(จาก 132 ที่นั่ง) เนื่องจากหัวหน้าพรรค United GCBA อู บา เป ซึ่งได้ที่นั่งสูงสุด 46 ที่นั่ง ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็ดำรงตำแหน่งอยู่ได้ไม่นาน เนื่องจากจำนวนที่นั่งในสภามีน้อย จึงไม่มีเสถียรภาพ เมื่อถูกท้าทายในสภาโดย อู บา เป และ อู ซอ หัวหน้าพรรค Patriot Party ภายหลัง ดร. บา มอ จึงถูกกดดันให้ลาออก โดยมี อู ปู รับตำแหน่งในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีจะเปลี่ยนมือไปยัง อู ซอ (ผู้ซึ่งบงการสังหารอองซานในเวลาต่อมา)
ในช่วงเวลานี้ ตะขิ่นอองซาน ได้มีบทบาทในการเมืองระดับชาติ อาทิ เข้าร่วมเป็นคณะทำงานของสันนิบาตชาวนาแห่งชาติ (All Burma Peasants’ League) รวมถึงการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาในเดือนสิงหาคม ปี 1939(พ.ศ. 2482) โดยมีตะขิ่นโซ เป็นประธานพรรค ตะขิ่นอองซาน ตะขิ่นเทียนเป และตะขิ่นตันทุน เป็นเลขาธิการพรรค ตะขิ่นนุ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากไม่ต้องการเอาตัวเองเข้าไปข้องแวะกับการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือกำเนิดขึ้นในปี 1939(พ.ศ. 2482) พรรคตะขิ่นก็มองเห็นโอกาสที่ดีจะต่อรองกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น อองซาน เสนอให้ติดต่อกับ ดร. บา มอ เพราะเข้าใจว่า ดร. บา มอ สามารถที่จะติดต่อญี่ปุ่นให้ส่งความช่วยเหลือในการติดอาวุธต่อสู้กับอังกฤษ ต่อมาพรรคตะขิ่นได้ร่วมกับพรรคนจนของ ดร. บา มอ และนักการเมืองกลุ่มชาติพันธุ์อีกจำนวนหนึ่งในนาม กลุ่มเสรีภาพ(Freedom Bloc) โดยมีกิจกรรมหลักคือ การเดินสายไปทั่วประเทศเพื่อสื่อสารให้ประชาชนทราบถึงแนวคิดของพวกเขาที่จะให้อังกฤษสัญญาที่จะมอบอิสระภาพให้พม่าทันทีที่สงครามโลกยุติ แลกกับการที่ชาวพม่าจะสนับสนุนอังกฤษ กิจกรรมดังกล่าวทำให้รัฐบาลไม่พอใจ และจับตัว อองซาน ในข้อหาต่อต้านรัฐบาลโดยใช้อาวุธ ก่อนที่จะปล่อยตัวในภายหลัง เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานเอาผิดได้ นอกจากนี้บรรดาผู้นำพรรคตะขิ่นและ ดร. บา มอ ถูกหมายหัวจากรัฐบาลเช่นเดียวกัน หลังจากได้รับการปล่อยตัว อองซาน จึงตัดสินใจที่จะหนีออกนอกประเทศ โดยที่แรกที่เขาไปนั้นคือ อินเดีย ซึ่งเขาได้รับโอกาสให้ไปพูดในที่ประชุมรัฐสภาอินเดีย การประชุมที่ Ramghar ก่อนจะกลับเข้าประเทศพม่าแบบลับๆ เพื่อช่วยนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งจัดการชุมนุมต่อต้านสงครามและจักรวรรดินิยมอังกฤษ ก่อนที่จะหนีออกนอกประเทศอีกครั้งไปยังประเทศจีน (อองซาน หนีไป Amoy ตอนใต้ของมณฑลฟูเจี้ยน) เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากบรรดาแนวร่วมผู้ต่อต้านจักวรรดินิยมอังกฤษในจีน
หลังจาก อองซาน หนีไปได้ไม่นาน ตะขิ่นนุ ก็ถูกทางการจับและตัดสินโทษจำคุก 2 ปี โดยถูกขังที่เรือนจำอินเส่ง ก่อนจะส่งไปกุมขังที่เรือนจำมัณฑะเล อู นุ ถูกขังอยู่ในคุกจนกระทั่งกองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนพลบุกเข้ามายังพม่าในปี 1942(พ.ศ. 2485)
อู นุ เล่าให้ลูกชายของเขาคือ หม่อง อ่อง ฟังว่า ผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างมากอีกผู้หนึ่ง คือ คนขับแท๊กซี่ชาวจีนซึ่งมีชื่อพม่าว่า Kyaw Khin ผู้ซึ่งอาสาขับรถป้ายทะเบียน RB 5544 พาตะขิ่นอองซาน และตะขิ่นละมิ้น หลบหนีไปขึ้นเรือ ท่ามกลางการตรวจตราอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ เมื่อมาถึงท่าเรือ ตะขิ่นอองซาน เช็คอินในนาม Hi Lee ส่วน ตะขิ่นละมิ้น เช็คอินในนาม Tan Hsu Taung ขณะนั้น อองซาน ลำบากมาก แทบไม่มีเงินติดตัวเลย มีเพียงเงินที่ภรรยาของ ตะขิ่นละเป มอบให้จำนวน 200 จ๊าต ในคืนที่รับประทานอาหารเย็นร่วมกันเป็นมื้อสุดท้าย และภายหลังเมื่อไปถึง Amoy อองซาน ก็ไม่ได้รับความสนใจจากแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดิอังกฤษเท่าใดนัก เขาป่วยหนักและอยู่ที่นั่นหลายเดือน เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวหมดลง อองซาน ได้เขียนจดหมายส่งไปถึง ดร. บา มอ แต่ ดร. บา มอ ไม่ได้รับ เนื่องจากถูกกุมขังที่เรือนจำ อยู่แต่ภรรยาของ ดร.บา มอ จึงรวบรวมเงินส่งไปให้ ออซาน 500 จ๊าต
ในที่สุด อองซาน ก็สามารถติดต่อกับสายลับญี่ปุ่นที่ Amoy ได้สำเร็จ เป็นที่มาของการจัดตั้งกลุ่ม 30 สหาย ซึ่งได้รับการฝึกทหารจากกองทัพญี่ปุ่นที่เกาะไหหลำก่อนจะเดินทางกลับเข้าพม่าผ่านทางกรุงเทพฯพร้อมกับกองทัพญี่ปุ่น ที่กรุงเทพฯนี่เองที่ได้มีการก่อตั้งกองทัพปลดแอกพม่า(Burmese Independent Army-BIA) ขึ้นโดยกลุ่ม 30 สหาย มีการรวบรวมชาวพม่าที่อยู่ในสยามกว่า 200 คน มาเข้ารับการฝึกทางทหารด้วยความช่วยเหลือของสายลับญี่ปุ่นในคราบนักธุรกิจ จึงอาจกล่าวได้ว่า กองทัพพม่านั้น ได้ถือกำเนิดขึ้นบนแผ่นดินสยาม
สำหรับกลุ่ม 30 สหายนั้น โดยมากจะใช้ชื่อที่เป็นชื่อปลอม เพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริง เช่น อองซาน ใช้ชื่อว่า Bo Te Za ตะขิ่นละมิ้น ใช้ชื่อว่า Bo Zeya ตะขิ่นละเป ใช้ชื่อว่า Bo Let Ya, ส่วนบุคคลสำคัญที่พลิกชะตาประเทศพม่าอยู่ด้วยคือ ตะขิ่นชูหม่อง ซึ่งใช้ชื่อว่า Bo Ne Win (Bo ใช้เป็นคำนำหน้าชื่อของทหาร) ซึ่งก็คือ นายพลเนวิน ผู้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี อู นุ ในปี 1962(พ.ศ. 2505) นั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
0 ความคิดเห็น